วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติปรามังกร




ปลาอะโรวาน่า นับว่าเป็นสุดยอดปลาสวยงามที่ ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดมา โดยตลอดซึ่งอาจจะ เป็นเพราะปลาชนิดนี้เป็นปลาที่มีรูปร่างสวยงามน่า เกรงขามมีเกล็ดขนาดใหญ่และมีสีสีนแวววามมี หนวดซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้จะคล้าย"มังกร" นอกจากนี้ยังมีเรื่องความเชื่อต่างๆ เข้ามาเกี่ยว ข้องกับปลาอะโรวาน่าโดยชาวจีนเชื่อว่าผู้ใดเลี้ยง ปลาชนิดนี้แล้วจะร่ำรวยมีโชคลาภ จึงทำให้ปลา ชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงสุด จึงส่งผลให้ราคาปลาดังกล่าวมีราคาค่อนข้างสูง สำหรับปลาอะโรวาน่าเกือบทุก สายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์จากทวีปเอเชีย จากการศึกษาตามประวัติของปลา ชนิดนี้พอที่จะทราบได้ว่ามีการขุดค้นพบซากฟอลซิลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ จึงทราบว่าปลาอะโรวาน่าจัดเป็นปลาโบราณอยู่ในตระกูล "Osteoglossidae" ซึ่งเป็นตระกูลของปลา ที่มีลิ้นเป็นกระดูกแข็ง Bony Tougue ปลาชนิดนี้พบ กระจายอยู่ใน 4 ทวีป ทั่วโลก คือ ทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปอัฟริกา และทวีป ออสเตรเลีย โดยปลาที่มาจากแต่ละทวีปจะมีรูปร่างลักษณะเด่นพิเศษที่แตกต่างกัน ตามไปด้วย โดยเฉพาะปลาที่มาจากทวีปเอเชีย เป็นปลาที่มีราคาแพงมากที่สุด สายพันธุ์อเมริกาใต้ อะโรวาน่า ปลาตะพัด หรือปลามังกร เป็นปลาที่จัดอยู่ในตระกูล Osteoglos Sidae (ออสที โอกลอสซีดี้) ปลาในตระกูลนี้พบแพร่กระ จายอยู่ทั่วโลก โดยมีลักษณะภายนอกที่แตกต่าง กันและผันแปรไปตามแหล่งที่สามารถพบได้ แบ่ง ได้ 4 สกุล(Genus) และ มีอีก 7 ชนิด(Specises) ด้วยกัน คือ ทวีปอเมริกาใต้ 3 ชนิด ทวีปออสเตเลีย 2ชนิด ทวีปอัฟริกา 1 ชนิด ทวีปเอเบียอีก 1 ชนิด (4 สายพันธุ์) ซึ่งแต่ละชนิดมีถิ่นกำเนิดแตกต่างกันออกไปดังนี้

1. กลุ่มทวีปเอเชีย

2. กลุ่มทวีปอเมริกาใต้

3. กลุ่มทวีปแอฟริกา

4. กลุ่มทวีปออสเตรเลีย และนอกจากนั้นลักษณะสีของลำตัว หัวและครีบ ของปลา อะโรวาน่าก็มีสีแตกต่างกันออกตามสาย พันธุ์ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 สายพันธุ์

ถิ่นกำหนด

ปลาอะโรวาน่าหรือปลาตะพัดเป็นปลาที่จัดอยู่ในครอบครัว Osteoglossidae (ออสทีโอกลอสซิดี้) ปลาในตระกูลนี้หากจัดแบ่งตามแหล่งที่อยู่อาศัยหรือเขตุภูมิภาคที่พบซึ่งเป็น ที่ยอมรับของสากลจะแบ่งออกเป็น 4 สกุล
(Genus) และมี 7 ชนิด (Species) คือ

ทวีปอเมริกาใต้ 3 ชนิด

ทวีปออสเตรเลีย 2 ชนิด

ทวีปอัฟริกา 1 ชนิด

ทวีปเอเซีย 1 ชนิด (4 สายพันธุ์)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://gofish.igetweb.com/index.php?mo=3&art=248037
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

การเพาะพันธุ์ปลามังกร



                 ปลามังกร การเพาะพันธุ์ปลามังกร เรานำภาพและวิธีการ การเพาะพันธุ์ปลามังกรมา ไว้ให้ทุกท่านได้ชม และเรียนรู้ หวังว่าคงชอบกัน เป็นภาพการเพาะที่สิงคโปร์ครับ ไม่ทราบว่าที่ไทยเรา เพาะพันธุ์กันได้รึยัง มาชมกันเลยครับ
เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณ Beerman ว่าพ่อพันธุ์ทองมาเลย์ของคุณ Richard เริ่มอมไข่แล้ว บอกตามตรงว่าเราหวาดเสียวกับเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้ง เพราะที่ผ่านมามักไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ไข่เสียหายและไม่สามารถฟักเป็นตัวได้ แต่วันนี้ไม่ใช่ เราเห็นไข่ครั้งแรกในวันที่ 16 เดือน 4 และครั้งนี้... ประสบความสำเร็จ หลังจากที่รอมา 24 วันเต็ม วันนี้เราได้ลูกปลามาเชยชมแล้ว

คุณ Richard ผู้เป็นเจ้าของมีประสบการณ์เลี้ยงปลามังกรมาแล้วกว่า 20 ปี ลำพังเพียงปีที่แล้ว เขาหมดงบประมาณกว่า 100,000 เหรียญ (เกือบ 2.5 ล้านบาท) เพียงเพื่อที่จะทำให้ฝันในการเพาะพันธุ์ปลามังกรเป็นจริง และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเคหาสษ์สถานส่วนตัวของเขาเอง

ขนาดของ บ่ออยู่ที่ประมาณ 16 x 16 ฟุต และลึก 4 ฟุต เป็นบ่อปูน ในบ่อมีปลามังกร 13 ตัว เป็นทองมาเลย์ตัวผู้ 1 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว ปลาแดงตัวผู้ 6 ตัว และปลาแดงตัวเมีย 5 ตัว ในช่วงที่เพาะพันธุ์นี้ มีกล้องคอยจับภาพอยู่ตลอด

คู่ ตุนาหงันคือ มังกรแดงเพศเมีย อายุ 6 ปี และมังกรทองมาเลย์เพศผู้อายุ 7 ปี ทั้ง 2 ตัวมีขนาด 2 ฟุตเต็ม ซึ่งถือว่าโตเต็มวัยแล้ว... และวันนี้ เราได้ลูกปลารวมทั้งสิ้น 29 ตัวครับ ในระหว่างที่ทำการง้างปากอยู่นั้น มีปลา 2 ตัวที่ได้รับบาดเจ็บ และ 1 ในนั้นก็ได้จากไป... เราได้เสียเจ้าตัวน้อยไปตัวหนึ่ง

คุณ Richard ได้เตรียมตู้ใบเล็กไว้แล้ว สำหรับเก็บลูกปลาหลังการง้างปาก ภายในตู้เราใช้ระบบกรองในตัวโดยปรับแรงน้ำให้เบา ไม่รุนแรง ลูกปลาทั้งหมดนั้นถูกเก็บเลี้ยงอย่างทะนุถนอมในถ้วยฟักใบเล็ก เรามั่นใจว่าด้วยสภาพน้ำ จำนวนออกซิเจน จะมีผลทำให้ลูกปลาน้อยฟักตัวได้อย่างสมบูรณ์

ในวันนี้ เราได้มีผู้เลี้ยงสามารถเพาะพันธุ์ปลามังกรในบ่อเลี้ยงได้เป็นครั้งแรก แน่นอนว่านี่คงต้องเป็นข่าวใหญ่ในหนังสือพิมพ์แน่... อาชุน (Yap Kim Choon) เซียนมังกรแห่ง Qian Hu, William และ Beerman ก็ไปที่นั่นด้วย ผมเองและ Alvin ก็ไปเป็นสักขีพยานด้วยเช่นกัน แน่นอนครับ เจ้าหน้าที่จาก AVA (กรมประมงของที่นั่น) และเนื่องจากปลาพ่อแม่พันธุ์ทั้งสองเป็นปลาจาก Qian Hu ดังนั้น ลูกปลาทั้งหมดจึงต้องถูกตีตราว่าเป็นปลาของ Qian Hu ไปด้วย ตามกฏหมายของ CITES

ผมยอมรับว่า สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ที่แสนวิเศษจริงๆ ได้เห็นการง้างปากเอาลูกปลาออกมา โดยฝีมือของผู้เลี้ยเอง และวันนี้ เราได้รับรู้แล้วว่า ผู้เลี้ยงก็สามารถเพราะพันธุ์ปลามังกรเองได้ แล้วที่สำคัญ... ทำได้ในบ่อเลี้ยงด้วย ขอแสดงความยินดีกับคุณ Richard Goh จริงๆ ครับ

 
 
2. ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 10.05 ในตอนเช้า คุณ Richard ลงไปในบ่อแล้วเริ่มทำการง้างปากปลามังกร (Harvesting)

 
 

3. เจ้าตัวพ่อพันธุ์ที่ผมไข่ปลามังกร สุดท้ายก็ถูกแยกออกมาโดยมี "ตาข่าย" ช่วย

 
 

4. เอาล่ะ... เสร็จฉัน

 
 

5. นี่ไงล่ะครับ โฉมหน้าพ่อพันธุ์ปลามังกรทองมาเลย์ อายุ 7 ปี... ไข่เต็มปากเลยเวลานี้ (ขออภัยด้วยครับที่ถ่ายภาพไม่ชัด)

 
 

6. เสร็จล่ะ !

 
 


7. ต้อนจับได้ก็ค่อยๆ ยกตาข่ายขึ้นอย่างแผ่วเบา เพื่อไม่ให้ปลามังกรตกใจตื่น

 
 


8. คุณ Richard พยายามใช้มือขวาจับต้อนตัวปลามังกรเพื่อให้อยู่ในท่าที่ถนัด

 
 

9. คนจับก็จับไป คนถ่ายภาพก็ถ่ายไป... เก็บทุก Shots

 
 

10. โอกาสทองแล้ว !!

 
 


11. ช่วงเวลาแห่งการโกย

 
 

12. ลูกปลามังกรถูกคายออกมา

 
 


13. คายหมดก็พรุ่งปรู๊ดหนีไปเลย

 
 

14. ลูกปลามังกรที่อยู่ในตาข่าย

 
 

15. อาชุน เป็นคนที่นับจำนวนลูกปลามังกรล๊อทนี้ (ซึ่งถือเป็น Tong Yan คือลูกผสมระหว่าง ทองมาเลย์ x แดง ครับ) โดยมีเจ้าหน้าที่จากกรมประมงเป็นสักขีพยาน

 
 


16. สิงคโปร์มุงครับ... หน้าคุ้นๆ ทั้งนั้นเลย  ฮ่าฮ่าฮ่า

 
 


19. คุณภรรยาก็ดีใจด้วยเช่นกัน โอ้ถุงหนักจังเลย !

 
 


20. เหล่าลูกปลามังกรน้อยอยู่เต็มไปหมด ขนาดตัวก็ประมาณ 3 ซม. หรือ 1.2 นิ้วเท่านั้นเอง แต่ละตัวว่ายน้ำดุ๊กดิ๊กน่ารักจริงๆ ครับ

 
 


23. ตัวนี้สีดีที่สุดในบ่อครับ... บอกอะไรให้เอามั้ยครับ นี่ล่ะ "ตัวเมีย" แดงจนตัวผู้อายเลย

 
 

25. มาดู "บ้าน" ของเหล่าปลามังกรน้อยกันก่อนนะครับ ใช้ระบบน้าล้นเพื่อสร้างกระแสน้ำที่แผ่วเบา และสม่ำเสมอ เพื่อทะนุถนอมเจ้าตัวน้อยเหล่านั้น

 
 


^
TOP
^

การเลี้ยงปลามังกร

1. การเตรียมตู้  การเลี้ยงปลามังกรนั้นผู้เลี้ยงต้องคำนึงถึงเรื่องตู้เป็นอันดับแรก  มาตรฐานขั้นต่ำที่ใช้เลี้ยงนั้นคือ 60*24*24 นิ้ว หรือ ประมาณ 150*60*60 ซม. จะสามารถเลี้ยงจากขนาดเล็กที่มีขายตามร้านค้าทั่วไปจนถึง    ขนาด 24 นิ้ว จะสามารถทำให้ท่านเลี้ยงได้ประมาณ 4-5 ปี แล้วจึงค่อยขยับขยายแต่หากท่านที่มีเนื้อที่
ค่อนข้างจำกัดจริงๆก็สามารถเลี้ยงได้ตลอดไป แต่กระจกที่ใช้ควรจะหนาประมาณ 3 หุน ขึ้นไป และ ในกรณีที่พอมีเนื้อที่ในด้านกว้างที่พอจะเพิ่มได้ควรจะกว้างอย่างน้อย 30 นิ้ว หรือ 75 ซม. สูง 36 นิ้ว แต่จะให้ดีก็ กว้าง 36 นิ้ว หรือ 90 ซม. สูง 36 นิ้ว ไปเลยก็จะดี ปลาขนาดใหญ่จะได้ไม่เครียด”( ที่สำคัญอย่าลืมเผื่อกันกระโดดด้วย ประมาณ 4-6 นิ้ว แล้วแต่ขนาดของปลา ) ที่ผมแนะนำอย่างนี้ก็เพื่อผู้เลี้ยงจะไม่ต้องเปลืองสตางค์ซื้อตู้บ่อยๆ แล้วตู้ที่ไม่ได้ใช้เกะกะเต็มบ้านจนต้องยอมขายถูกๆหรือไม่ก็ยกให้ใครไปฟรีๆ แต่ปัญหาที่พบบ่อยปลาเล็กในตู้ขนาดใหญ่ คือ ตื่นกลัว  ทำให้การว่ายไม่สง่า  ครีบลู่  วิธีแก้คือ หาแท้งค์เมท มาเพิ่มสัก 2-5 ตัว แล้วแต่ขนาดของตู้ ปลาที่ผมอยากจะแนะนำได้แก่ ปลานกแก้ว เป็นตัวหลัก เพราะ เป็นปลาที่ไม่มีข้อเสีย เลย แถมยังข้อดีเพียบ  แต่ ไม่ควรใส่จนเยอะเกินไป หรือ นำนกแก้วที่มีขนาดใหญ่กว่าปลามังกรใส่ลงไป  ก็จะสามารถแก้อาการตื่นกลัวได้ หากไม่มีปัจจัยอื่นที่ทำให้ปลาตื่นกลัว เช่น เด็กชอบมาทุบกระจก หรือ ตู้ปลาอยู่ตรงทางเดินที่มีคนพลุกพล่าน  เป็นต้น
ในกรณีท่านที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเนื้อที่  เมื่อปลาได้ขนาด 16 –18 นิ้วแล้วจึงย้ายปลาไปอยู่ในตู้ที่ใหญ่ขึ้น  จะทำให้ปลาที่ท่านเลี้ยงโตขึ้นโดยไม่สะดุด  และการว่ายจะไม่มีปัญหา  และปลาจะไม่เกิดความเครียด
 เมื่อท่านเลือกขนาดตู้ที่เหมาะสมแล้วนั้นการเลือกระบบการกรองชีวภาพ และรายละเอียดปลีกย่อยทุกอย่างล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้น
2. น้ำที่ใช้เลี้ยงปลา จะต้องเป็นน้ำที่ปราศจากคลอรีน  บางท่านอาจจะใช้การพักน้ำให้คลอรีนระเหยบ้าง  ใช้เครื่องกรองน้ำบ้าง  ( ข้อควรระวัง ห้ามใช้เครื่องกรองที่มีวัสดุกรองเป็นเรซินหรือเครื่องกรองน้ำที่ใช้ดื่ม  วัสดุกรองที่ใช้กรองคลอรีนจะต้องเป็นถ่านกะลาเท่านั้น  หากใช้คาร์บอนชนิดอื่นอาจทำให้น้ำเป็นด่างสูงเป็นอันตรายต่อปลาได้ ) คุณภาพน้ำที่ใช้เลี้ยงปลามังกรนั้นค่อนข้างสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าหากให้ผมแนะนำการที่จะได้มาซึ่งคุณภาพน้ำสูงสุดนั้น ควร ใช้น้ำปะปาแล้วต่อเครื่องกรองคลอรีนแล้วนำน้ำไปพักให้ตกตะกอนหากน้ำที่พัก ทิ้งไว้เป็นเวลาหลายวันควรมีหัวทรายตีน้ำไว้เพื่อคงระดับออกซิเจนในน้ำเพื่อ ป้องกันน้ำเสีย  จะทำให้ท่านได้น้ำที่ปราศจากคลอรีน ใสไม่มีตะกอน และมีออกซิเจนสูง อุณหภูมิน้ำในตู้บริเวณผิวน้ำควรอยู่ระหว่าง 30-34 องศาเซลเซียส น้ำที่ต้องห้ามใช้เลี้ยงปลามังกร ได้แก่  น้ำที่มีสารเคมีทุกชนิดปนอยู่  น้ำที่มีฤทธิ์เป็นด่างสูง  น้ำฝน  น้ำบาดาล  น้ำสกปรก คือน้ำที่มีออกซิเจนละลายอยู่ในปริมาณต่ำ 
3. อาหาร ที่ใช้เลี้ยงปลามังกรก็มีส่วนสำคัญ ซึ่งมีผลโดยตรงกับการเจริญเติบโตของปลา รวมถึงรูปทรงและสีสันของปลา  อาหารที่ใช้เลี้ยงได้แก่  แมลงเกือบทุกชนิด ลูกปลา หนอน ไส้เดือน กบ กุ้งฝอย เนื้อกุ้ง  รวมทั้ง อาหารเม็ด การให้อาหารปลามังกรนั้นไม่จำกัดตายตัว ว่าจะต้องกินอย่างไร ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ ความสะดวกของผู้เลี้ยง และอุปนิสัยการกินของปลาประกอบเข้าด้วยกัน แต่ที่ผมจะแนะนำคือ ปริมาณอาหารที่ให้ในแต่ละวันนั้นจะต้องไม่มาก หรือน้อยเกินไป โดยส่วนมากแล้วเมื่อปลาอิ่มจะไม่สนใจอาหารแล้วเชิดหน้าใส่ ยกเว้นจะเป็นของที่โปรดปรานจริงๆจึงจะฝืนกินจนพุงกางบางท่านชอบทำแบบนี้แล้วชอบใจว่าปลาของเรากินเก่ง แต่ผลเสียก็คือ ปลาของท่านจะเป็นโรคอ้วน เสียทรง ตาตก เพราะอาหารที่พวกมัน โปรดปรานส่วนใหญ่หนีไม่พ้นอาหารที่มีไขมันสูง อันได้แก่ หนอนนก  หนอนยักษ์  จิ้งหรีด  กบ  ตะพาบ  ซึ่งอาหารจำพวกนี้ควรควบคุมปริมาณที่ให้ในแต่ละวัน  แต่จะงดไปเลยก็ไม่ดี เพราะจะทำให้ปลาท่านไม่โต หรือโตช้า เนื่องจากอาหารจำพวกนี้จะอุดมไปด้วยโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในการเจริญเติบโต การให้อาหารที่ดีนั้น ท่านควรสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆเพื่อสุขภาพปลาของท่านจะแข็งแรงมีภูมิต้านทานสูง เหมือนกับคนเราที่ได้รับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายดังนี้
  เดือนมกราคม     หนอนนก   กุ้งฝอย  ลูกปลา
  เดือนกุมภาพันธ์   หนอนยักษ์   กุ้งฝอย  ลูกกบ
  เดือนมีนาคม    จิ้งหรีด  กุ้งฝอย  เนื้อกุ้ง
  เดือนเมษายน   ตะขาบ  กุ้งฝอย  ลูกตะพาบ
  เดือนพฤษภาคม   แมลงป่อง  กุ้งฝอย  จิ้งจก
  เดือนมิถุนายน  ก็กลับหมุนเวียนเอาของเดือนมกราคมขึ้นมาใหม่  เป็นต้น
  หรือ   จะเอาทุกอย่างมาสับเปลี่ยนหมุนเวียนในแต่ละวันก็ได้   แต่อาหารที่มีทั่วไปหาซื้อง่าย  ได้แก่  หนอนนก  กุ้งฝอย  เนื้อกุ้งสด  ลูกปลา  จิ้งหรีด  ลูกกบ  อาหารที่ไม่แนะนำให้ใช้กับปลามังกรได้แก่  แมลงสาบ ถ้าท่านไม่ได้เพาะพันธ์เองไม่ควรใช้   เนื้อหมู หรือ เนื้อวัว  จะทำให้ย่อยยาก อาจทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับลำไส้  หรือเมื่อใช้เลี้ยงไปนานๆปลาของท่านอาจจะตายโดยไม่รู้สาเหตุ เพราะในเนื้อหมูหรือเนื้อวัวนั้นจะมีพยาธิบางชนิดค่อยๆกัดกินอวัยวะภายในจนตาย เนื่องจากมันไม่ใช่อาหารของมันตามธรรมชาติ  จึงไม่มีกลไกภายในร่างกายสามารถป้องกันได้

การเลี้ยงปลามังกร

อาหารปลามังกร และ การดูแลรักษา

อาหารของปลามังกรที่ผู้เลี้ยงนิยมให้มี 4 อย่างก็คือ กุ้งฝอย หนอนนก จิ้งหรีด และลูกปลาเล็ก แต่จริงๆ แล้วปลาชนิดนี้สามารถกินอาหารได้หลายอย่างโดยแบ่งออกหมวดหมู่ได้ 7 ชนิดดังต่อไปนี้..

1. แมลง มีหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น จิ้งหรีด หนอนนก แมลงสาบ ตั๊กแตน การให้อาหารประเภทแมลงมีข้อดีคือปลาชอบกิน ย่อยง่าย และแมลงส่วนใหญ่จะลอยน้ำทำให้ปลากินง่ายไม่ต้องว่ายหาหรือไล่ล่าในตู้ แต่ก็มีข้อเสียด้วยเช่นกันก็คือของเสียจากปลาจะมี “เปลือก” ออกมาด้วยเช่นเปลือกหนอน ปีกจิ้งหรีด และส่วนอื่นๆ ซึ่งเศษของเสียพวกนี้จะลอยน้ำแล้วเกาะตัวเป็นคราบ หากไม่มีการขัดถูตู้เป็นประจำปล่อยไว้นานเข้าเปลือกเหล่านี้จะฝังตัวแน่น เข้ากับตู้ทำให้ตู้สกปรกไม่น่ามอง ในท้องตลาดทั่วๆ ไปจะมีหนอนนกและจิ้งหรีดขายเป็นประจำโดยราคาของหนอนนกจะอยู่ที่ประมาณขีดละ 10-30 บาท ส่วนจิ้งหรีดก็จะขายเป็นถุงๆ ละ 30-50 บาท



2. สัตว์เล็ก เช่น ไรทะเล กุ้งฝอย และลูกกบ ในส่วนของ “กุ้งฝอย” หากฝึกให้ปลากินได้เป็นประจำก็จะเป็นผลดีทำให้ปลามีสีสันที่ดีขึ้นโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในปลามังกรแดง ส่วน “ลูกกบ” ปลาบางตัวก็ชอบ บางตัวก็ไม่ชอบนะครับ ส่วนใหญ่แล้วลูกกบมักจะเป็นเหยื่อที่ปลากินได้ไม่นาน กินไม่ประจำ แรกๆ อาจจะชอบแต่พอซักพักก็จะเริ่มเบื่อและกินน้อยลง ลูกกบเป็นเหยื่อปลาที่ค่อนข้างมีราคาสูงคือขายกันที่ตัวนึงประมาณ 2-5 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดและจำนวนการซื้อ)

=> กรณีศึกษาเรื่อง "เมื่อปลากินกุ้งฝอย"

http://www.aro4u.com/forums/index.php?showtopic=32



3. ลูกปลา นอกจากพวกแมลงและสัตว์เล็กแล้วก็ยังมีพวกปลาเล็กๆ อีกด้วย เช่น ปลาสอด ปลาหางนกยูง ปลากัด ปลานิล ปลาทอง การให้อาหารประเภทลูกปลามีข้อดีคือปลาโตเร็ว สีสันสวยงาม และกระตือรือร้นสม่ำเสมอเนื่องจากได้ไล่ล่าลูกปลาเป็นประจำ แต่การให้ปลาเหยื่อเป็นอาหารก็มีข้อเสียเช่นกันคือ ปลาบางตัวอาจมีโรคติดมาและเมื่อปลามังกรกินเข้าไปแล้วก็มีอาจผลให้ได้รับ เชื้อนั้นด้วย อีกเรื่องคือ “ปรสิต” ที่ติดมาไม่ว่าจะเป็นเห็บ หรือ หนอนสมอ (หากหลีกเลี่ยงจากการใช้เหยื่อประเภทนี้ไม่ได้ผมแนะนำให้ล้างลูกปลาเหล่านี้ด้วย “น้ำผสมด่างทับทิม” จางๆ ซักรอบและล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนใช้อีกครั้งเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคและกำจัด ปรสิต การผสมด่างทับทิมเข้มข้นเกินไปมีผลทำให้ลูกปลาตายอย่าลืมระวังที่จุดนี้ด้วย นะครับ)



4. สัตว์เลื่อยคลาน อย่างเช่น จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งกือ… จริงๆ แล้วสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้ปลามังกรชอบกินมากแต่ติดตรงที่ว่าหายากมีไม่มาก นัก ไม่มีขายตามท้องตลาดใครที่คิดจะให้ก็ต้องขยันจับกันหน่อย ผมเคยได้ยินว่าการให้เหยื่อพวกนี้แล้วสีปลาจะดีขึ้น แต่จากที่ทดลองแล้วผลปรากฏว่าไม่ได้มีผลเรื่องสีมากนัก จากที่ไม่แดงก็ไม่ได้แดงขึ้นเท่าไหร่ ส่วนตัวที่แดงอยู่แล้วก็คงเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง สำหรับ “กิ้งกือ” ผมไม่แนะนำให้ใช้เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่ามีพิษ หากให้ปลากินเป็นประจำอาจมีผลร้ายในระยะยาวได้

5. เนื้อสัตว์ ที่นิยมให้ก็มีหลายชนิดเช่น เนื้อกุ้ง เนื้อปลา เนื้อหมู หรือเนื้อชนิดอื่นๆ เหยื่อปลาชนิดนี้ผมแนะนำให้ล้างให้สะอาดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีไข่พยาธิหรือ สิ่งสกปรกชนิดอื่นๆ หลงเหลืออยู่ แล้วในการให้จริงก็ควรตัดชิ้นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ จะได้กินง่ายกลืนสบายๆ... จริงๆ แล้วเนื้อสัตว์พวกนี้ไม่ค่อยเหมาะกับระบบการย่อยปลามังกรนัก (ยกเว้นเนื้อกุ้งและเนื้อปลา) การให้กินเป็นประจำอาจมีผลทำให้ระบบขับถ่ายไม่ดี อันจะเป็นที่มาของโรค “ริดสีดวง” ได้

=> กรณีศึกษาเรื่อง "การฝึกปลาให้กินเนื้อกุ้ง"

http://www.aro4u.com/forums/index.php?showtopic=2604



6. อาหารเม็ด ข้อดีของอาหารเม็ดก็คือมีสารอาหารที่จำเป็นและวิตามินครบถ้วนซึ่งช่วยในการ ช่วยเพิ่มสีสันและความสมบูรณ์ให้กับตัวปลา ในท้องตลาดบ้านเรามีหลายยี่ห้ออย่างเช่นของ Hikari, Tetra และ Azoo โดยที่อาหารเม็ดเหล่านี้ถูกทำมาเพื่อสำหรับปลามังกรโดยเฉพาะ มีการแต่งกลิ่นและรูปทรงให้ดูเหมือนเป็นกุ้งหรือลูกปลาตัวเล็กๆ ทำให้ปลาสนใจมากขึ้น แต่ปกติแล้วผู้เลี้ยงปลามังกรมักไม่ค่อยให้กินอาการ เม็ดกันนั่นไม่ใช่เพราะแพงหรือหาซื้อยากอะไรนะครับ แต่เพราะปลาไม่ค่อยกิน กินน้อย หรือกินได้ไม่นานแค่ระยะหนึ่งก็เลิก

แต่สำหรับผู้ เลี้ยงมือใหม่ที่ไม่ต้องการทำบาปก็มักจะฝึกเลี้ยงเจ้ามังกรน้อยด้วยอาหาร เม็ดเหล่านี้ ใหม่ๆ อาจจะฝึกได้ยากหน่อย แต่เมื่อปลาหิวมากๆ ก็จะค่อยๆ ยอมรับอาหารเม็ดเอง (จะฝึกปลาให้กินอาหารเม็ดต้องใจแข็งหน่อยเพราะช่วงแรกปลาอาจไม่ยอมรับเลย ไม่กิน ไม่แตะต้อง กินแล้วอมๆ เคี้ยวๆ แล้วก็บ้วนออก) ในช่วงการฝึกช่วงแรกๆ ให้ใช้วิธีผสมไปก่อนคือให้ทั้งเหยื่อปลาปกติและอาหารเม็ด เพื่อกันปลาหิวจัดและซึมหรือพาลไม่กินอะไรอีกเลย เมื่อปลาหรับตัวกับอาหารเม็ดได้แล้วจึงให้ค่อยให้อาหารเม็ดกินอย่างเดียว วิธีนี้สามารถใช้ในการฝึกให้ปลากินอาหารใหม่ชนิดอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน



7. เมนูพิเศษ ปัจจุบันในท้องตลาดมีสัตว์แปลกๆ มาขายเพื่อเป็นเหยื่อให้กับปลามังกรอย่างเช่น แมงป่อง ตะขาบ หนอนยักษ์และลูกตะพาบน้ำ ทั้ง 4 อย่างนี้ถือเป็นเมนูพิเศษที่ไม่ค่อยจะเหมาะนักกับปลามังกรแต่ว่ามันก็ชอบกิน มากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 ชนิดแรกที่เชื่อกันว่าจะทำให้ปลามีสีสันดี สวยงาม เพราะมีสารเร่งสีตัวนั้นนี้ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ การเสนอขายเหยื่อแต่ละอย่างก็ราคาสูงมากอย่างเช่นตะขาบตัวนึงตกอยู่ที่ 50-80 บาท (ตัดเขี้ยวแล้ว) แมงป่องก็ 15-20 บาท หนอนยักษ์ (คล้ายๆ หนอนนกแต่มีขนาดใหญ่กว่าประมาณ 10-20 เท่า) ราคาตัวละ 4 บาท ส่วนลูกตะพาบก็ตัวละประมาณ 5 บาท... เมนูพิเศษที่ว่านี้เหมาะสำหรับปลาใหญ่ที่มีขนาดตั้งแต่ 1 ฟุตขึ้นไปนะครับ ในปลาเล็กไม่แนะให้ใช้ เหยื่อปลาชนิดนี้ผมถือเป็น “มื้อโอชา” ที่ให้นานๆ ทีดีกว่าครับ

=> ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมนูมื้อพิเศษ

http://www.aro4u.com/forums/index.php?showtopic=299

http://www.aro4u.com/forums/index.php?showtopic=380



ในการให้อาหารก็ไม่ควรให้มากเกินไป ให้อย่างพอเหมาะเพื่อป้องการ “โรคอ้วน” นอกจากนี้ยังช่วยไม่ให้น้ำเสียง่ายอีกด้วย และไม่ควรให้อาหารเผื่อทิ้งไว้ไม่ว่าอาหารเป็นอย่างกุ้งฝอยหรือลูกปลา และอาหารเม็ดลอยน้ำเพราะจะทำให้ปลาได้กินอิ่มอยู่เสมอ จุดนี้จะทำให้ปลาขาดความคึกคัก กระตือรื้อร้น เพราะไม่เคยรู้สึกหิว อิ่มตลอด มีให้กินเสมอ การให้อาหารในปลาเล็ก (ก่อน 1 ฟุต) ควรให้วันละ 2 มื้อ ส่วนปลาใหญ่ให้เพียงวันละ 1 มื้อก็พอ สำหรับลูกปลาขนาดเล็ก ๆ ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ไม่ควรที่จะเลี้ยงด้วยกุ้ง หรือพวกเนื้อ เพราะจะทำให้ติดคอ ท้องอืด อาหารไม่ย่อยซึ่งอาจทำให้ตายได้ ในปลาวัยนี้ให้เป็นไรทะเลหรือหนอนนกตัวเล็กๆ จะดีกว่า แต่ถ้าอยากให้ปลากินกุ้งฝอยก็ควรที่แกะหัวแกะหางให้เรียบร้อยจึงค่อยให้ เพื่อป้องการ “กรีกุ้ง” หรือส่วนแหลมคมส่วนอื่นๆ ไปทำอันตรายปลาได้

=> ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "ปลาอ้วน"

http://www.aro4u.com/forums/index.php?showtopic=1639



NOTE : ปัจจุบันผู้เลี้ยงปลามังกรค่อยๆ ลดความนิยมในการใช้ “แมลงสาบ” เป็นอาหารปลาเนื่องจากว่าใหญ่เกินไป คับปาก แข็ง กลืนกินยากซึ่งจะมีผลกับปากและกรามของปลาทำให้อาจเสียรูปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้กินแมลงสาบตั้งแต่เล็กๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความสกปรกจากเครื่องในของตัวแมลงสาบเวลาที่ปลากัด เคี้ยวแล้วมีเศษซากหลงเหลืออยู่ เรื่องกลิ่นสาบจากตัวแมลงเช่นกันหากเป็นตู้ที่ขาดดูแล ไม่มีการเปลี่ยนน้ำอย่างสม่ำเสมอก็จะมีกลิ่นเหม็นอับน่ารังเกียจ ส่วนเรื่องสุดท้ายคือเรื่องสารพิษจากยาฆ่าแมลงซึ่งก็ไม่อาจทราบได้ว่าเจ้า แมลงสาบตัวที่เราให้จับให้ปลากินมีที่มาจากไหน โดนยาฆ่ามารึเปล่า ? มีปลามังกรจำนวนไม่น้อยนะครับที่ต้องเสียไปจากเหยื่อปลาที่มียาฆ่าแมลง ส่วนเหยื่ออีกชนิดที่ถูกลดความนิยมลงไปก็คือ “ลูกปลาทอง” เนื่องจากว่าปลาชนิดนี้มีไขมันสูงซึ่งอาจะเป็นผลให้ปลาอ้วน เสียทรง ว่ายน้ำไม่สวยสง่างาม ที่สำคัญคือ “ตาตก” เร็ว

เหยื่อปลากับการดูแลรักษา


สำหรับ การดูแลรักษาเหยื่อปลา หลายท่านที่ไม่เคยเลี้ยงปลามังกรมาก่อนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่ได้สำคัญอะไร ทำไมต้องไปใส่ใจด้วย ? แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก ทั้งปัญหาจิ้งหรีดตายจำนวนมาก หนอนนกโดนมดขึ้น กุ้งฝอยกระหน่ำตายหลังจากซื้อมาแค่วันเดียว... นี่แหละครับที่เป็นปัญหา หลายคนก็วิธีทางแก้ที่แตกต่างกันไป แต่โดยมากแล้วมักจะจบลงที่การ “แช่แข็ง” หรือ Freeze เหยื่อปลาเหล่านั้น การแช่แข็งเป็นการถนอมอาหารที่ดีที่สุดอีกวิธีเพราะทำให้คงความสดของอาหาร ได้นานและเก็บได้ครบทุกตัว เหยื่อปลาส่วนใหญ่ที่มักจะใช้วิธีแช่แข็งก็คือ “กุ้งฝอย” และพวกเนื้อสัตว์ ส่วนอย่างอื่นเช่นหนอนนกและจิ้งหรีด หลังการแช่แข็งแล้วปลาจะไม่ค่อยชอบคือจะกินน้อยลงมาก ยังไงก็ตามโดยสันชาตญาณแล้วปลามังกรจะชอบของเป็นมากกว่าของตาย และเพราะแบบนั้นในการรักษาเหยื่อที่ยังเป็นให้มีชีวิตยาวนานขึ้นเราก็ต้องมี เทคนิคการดูแลกันหน่อย... เอาล่ะครับ ! เรามาเริ่มต้นที่

หนอนนก... หนอนนกเป็นเหยื่อตระกูลแมลงที่เมื่อโตขึ้นเต็มวัยแล้วจะเป็นแมลงปีกแข็งชนิด นึง (ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเรียกว่าแมลงอะไร ? แต่ปลามังกรก็สามารถกินได้) อาหารชนิดนี้เป็น Basic สำหรับปลามังกร กินง่าย (โดยเฉพาะตัวอ่อนสีขาว) มีโปรตีนสูง

ปัญหาของหนอนนกที่มักจะเจอก็คือโดน “มดขึ้น” หรือไม่ก็โดนเจ้าจิ้งจกแอบกิน... ปัญหามดขึ้นเป็นปัญหาที่รุนแรงมากเพราะต้องเสียหนอนนกไปทั้งหมดต่างกับกรณี ที่จิ้งจกแอบกินเพราะแบบนั้นคือหายเป็นตัวๆ ไปเสียไปเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ถ้าเป็นมดขึ้นแล้วเรื่องใหญ่ เสียเหยื่อแล้วยังต้องเสียเวลาไปหาซื้อมาใหม่อีก วิธีแก้ไขสำหรับกรณีมดขึ้นก็คือเตรียมถาดไว้ 2 อันๆ แรกใช้ขนาดเล็กเพื่อสำหรับเก็บหนอนนก ส่วนอีกอันเป็นขนาดใหญ่เพื่อรองน้ำใส่กันมดขึ้น แล้วก็มีฝาปิดที่เป็นช่องๆ สามารถระบายอากาสได้มาปิดด้านบนซักอันเพื่อป้องกันเจ้าจิ้งจกขี้ขโมยมาแอบ กิน ที่สำคัญคือต้องหมั่นคอยดูเติมน้ำไว้เสมอเพราะหากน้ำแห้งเมื่อไหร่ขบวนมดแดง ที่จ้องรออยู่แล้วก็จะเคลื่อนทับทันที ต่อไปก็เป็นเรื่องของอาหารที่ใช้หล่อเลี้ยงพวกมันให้อยู่ได้นานๆ อาหารสำหรับหนอนนกที่นิยมใช้คือ “รำแห้ง” ซึ่งสามารถขอซื้อได้จากร้านที่ขายหนอนนกเลย นอกจากนี้เรายังสามารถให้อาหารไก่ อาหารปลาดุก หรือผักแห้งเช่น กะหล่ำปลี การเลี้ยงหนอนนกเป็นจำเป็นต้องมีตระแกรงร่อนซักอันเพื่อไว้ร่อนเปลือกหนอน เวลาที่ลอกคราบและร่อนขี้หนอนออกก่อนจะให้ปลากิน

NOTE : อาหารที่ให้หนอนนกควรเป็นอาหารแห้งเพราะถ้าเราให้อาหารเปียกเช่นแครอท แตงกวา ถั่วงอกดิบ หรือผลไม้อื่น ขี้หนอนจะเปียกจะส่งผลให้ภายในถาดชื้นและถ้าชื้นมากๆ ก็จะทำให้หนอนอับตาย

จิ้งหรีด... จิ้งหรีดก็เป็นเหยื่อตระกูลแมลงอีกชนิดที่เป็นที่นิยมอย่างมาก แล้วตอนนี้ก็เป็นสัตว์เศรษฐกิจไปแล้ว มีการเพาะขายกันเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ปลามังกรชอบกินจิ้งหรีดมาก บางตัวไม่เคยกินแล้วมาได้ลิ้มลองอาจจะติดใจจนไม่สนอาหารชนิดอื่นซึ่งถ้าเป็น เมื่อก่อนที่จิ้งหรีดหายากๆ ผู้เลี้ยงคงปวดหัวไปตามๆ กัน แต่ปัจจุบันมีกันเต็มตลาดปัญหาที่ว่าจึงหมดไป

สำหรับปัญหาที่เกิด ขึ้นกับจิ้งหรีดก็คือมักจะตายง่าย ตายทุกวันๆ ละนิดละหน่อย ส่วนสาเหตุการตายก็อ่อนแอตายบ้าง กัดกันตายบ้าง โดนมดกัดบ้าง แต่ส่วนใหญ่จิ้งหรีดมักจะตายในที่เลี้ยงที่คับแคบ (ในกรณีที่จำนวนหนาแน่น) ยังไงก็ตามการจะเก็บรักษาจิ้งหรีดให้อยู่นานๆ อันดับแรกต้องเตรียมเนื้อที่เพียงพอโดยเน้นความกว้างของภาชนะที่ใส่ให้มี ส่วนสูงซัก 15” ฟุตและกว้างยาวประมาณ 1x1 ฟุต (ขนาดตัวอย่างสำหรับจิ้งหรีด 100 ตัว) มีตะแกรงปิดกันจิ้งหรีดกระโดดหนีที่สำคัญคือมีถาดรองน้ำซักอันกันมดขึ้น ส่วนอาหารจิ้งหรีดก็แบบเดียวกับกับหนอนนกครับคือ รำแห้ง อาหารปลา อาหารไก่ แต่ต่างกันตรงที่สามารถให้อาหารชื้อกับจิ้งหรีดได้ซึ่งก็คือผักและผลไม้เช่น แตงกวา ผักกาดหอม ชมพู่ มะม่วง ให้จิ้งหรีดกินอาหารวันเว้นวันก็พอและที่สำคัญควรมีน้ำด้วยนะครับ แต่ถ้าให้ผักและผลไม้กินเป็นประจำแล้วก็ไม่ต้องครับ สุดท้ายก็หมั่นทำความสะอาดภาชนะที่เลี้ยงด้วยและหมั่นคัดตัวตายออกเป็นประจำ เพื่อเจ้าจิ้งหรีดจะได้มีสุขภาพที่สมบูรณ์พร้อมเป็นอาหารสุดอร่อยข
องปลาที่รักของเรา



กุ้งฝอย... เหยื่อปลาชนิดนี้เลี้ยงยากที่สุด การเลี้ยงกุ้งฝอยให้อยู่ได้นานๆ จริงๆ ทำได้ยากมากเพราะส่วนใหญ่จะตายหมดก่อนและจะตายภายในระยะเวลาอันรวดเร็วเพียง แค่ข้ามคืนเดียวอาจตายเกินครึ่ง แต่หลังจากที่ได้ทดลองเองและสอบถามจากผู้เลี้ยงท่านอื่นรวมถึงร้านขายปลาที่ รู้จักหลายๆ ร้านต่างก็ได้ข้อมูลคล้ายคลึงกันนั่นก็คือ ในการเลี้ยงกุ้งฝอยให้อยู่ได้นานจำเป็นต้องมีภาชนะที่กว้างโดยไม่เน้นสูง ใส่หัวทรายเพื่อให้ออกซิเจนมากๆ (ควรใส่หลายๆ อันเพื่อให้อากาศกระจายทั่วภาชนะ) และเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกวัน อาหารสำหรับกุ้งฝอยก็เป็นอาหารปลาธรรมดา ซากปลา รวมถึง “หนอนนก” กุ้งฝอยก็กินได้ ยังไงก็ตามถ้าบ้านหรือสถานที่เลี้ยงอยู่ไกล้ร้านขายกุ้งฝอยก็อย่าลำบาก เลี้ยงเองเลย ซื้อเขาดีกว่าแล้วก็ใช้ให้หมดเป็นวันๆ ไป

NOTE : ผู้เลี้ยงสามารถฝึกให้ปลากินกุ้งตายได้ไม่ว่าจะเป็นกุ้งฝอยสดที่มีขายตาม ท้องตลาดหรือกุ้งฝอยแช่แข็งที่เราจัดเตรียมไว้แล้ว ในช่วงแรกๆ ปลาอาจไม่ยอมรับแต่ไม่นานก็จะกินครับเพราะเท่าที่ลองฝึกปลาหลายๆ ตัวส่วนใหญ่จะกิน หรืออย่างน้อยที่สุดก็เรียกได้ว่าฝึกให้กินกุ้งฝอยฝึกง่ายกว่าให้กินอาหาร เม็ดมาก (สำหรับการใช้วิธีแช่แข็ง ก่อนการแช่หากมีเวลาก็อย่าลืมล้างฆ่าเชื้อด้วยน้ำผสมด่างทับทิมเจือจางเพื่อ ฆ่าเชื้อโรคและปรสิตที่ติดมาด้วย)

ปลาเหยื่อ... ปลาเหยื่อที่นิยมให้กันมากที่สุดก็คือปลานิล แต่นอกจากนี้ก็มีปลาอื่นๆ อีกเช่น ลูกปลาช่อน ปลาสอด ปลาหางนกยูง ลูกปลากัด ปลาเหยื่อเหล่านี้ดูแลไม่ยากแค่หาอ่างซักใบให้มีความสูงมากหน่อยเพื่อ ป้องกันกระโดดและให้อ๊อกซิเจนกับอาหารอย่างเพียงพอก็พอแล้วครับ ข้อดีจากปลาเหยื่อก็คือปลามังกรจะได้รับสารอาหารเต็มที่ทั้งโปรตีนและแค ลเซี่ยม ทำให้ปลาโตเร็ว เกล็ดและเครื่องครีบแข็งแรง ส่วนปัญหาที่เจอก็มีอยู่ 2 อย่างคือ “โรค” และ “ปรสิต” ที่มากับตัวปลาเช่นเห็บและหนอนสมอ โรคตัวเปื่อย ปากเปื่อย หางเปื่อย ตัวสำลี โรคจุดขาว ถ้าเจอแบบนี้ก็ตักทิ้งไปเลยปล่อยไว้จะเป็นอันตรายกับปลาของเราเปล่าๆ ผมไม่แนะนำให้ใช้ปลาเหยื่อในปลาที่ยังเล็กเกินไปจะทำให้ปลากินยาก ฝืนกินลงไปอาจติดคอตายหรือไม่ก็ถ้ากินได้จะต้องใช้แรงปากค่อนข้างมากนานๆ เข้าอาจทำให้ปากปลาเสียรูปไม่สวยได้

แมงป่อง & ตะขาบ... เมนูพิเศษ 2 อย่างนี้เพิ่งได้รับความนิยมเมื่อไม่นานมานี้เองครับโดยเชื่อว่าจะช่วยเร่ง สีสันให้กับปลาได้ แล้วก็อย่างที่ได้กล่าวไปด้านบนแล้วนะครับว่าอาหารชนิดนี้เหมาะสำหรับปลาที่ มีขนาด 12” ขึ้นไป เล็กกว่านี้ยังไม่สมควรให้กินถึงแม้จะสับเป็นชิ้นเล็กๆ ก็ตามเพราะเป็นเหยื่อจำพวกมีเปลือกแข็งและมีเนื้อเหนียวโดยเฉพาะ “แมงป่อง” อาจทำให้ติดคอหรือค้างท้องไม่ย่อยแล้วท้องอืดตายได้ โดยปกติแล้วอาหารทั้ง 2 ชนิดนี้ส่วนใหญ่ผู้เลี้ยงจะไม่ได้ให้เป็นประจำเนื่องจากหาซื้อยากและมีราคา แพง ยังไงก็ตามหากหากมีกำลังทรัพย์เพียงพอและเลือกที่จะซื้อตุนไว้ก็ต้องมีการ เลี้ยงดูมันล่ะนะ ทั้งตะขาบและแมงป่องโดยปกติจะเลี้ยงง่ายแค่เพียงทิ้งจิ้งหรีดหรือหนอนนกไว้ มันก็อยู่ได้แล้ว ส่วนการให้น้ำก็ทำได้โดยเอาจิ้งหรีดไปชุบน้ำหรือไม่ก็พรมน้ำใส่ตัวมัน สำหรับแมงป่องก่อนให้ปลากินต้องตัด “ปลายหาง” ออกก่อน ตะขาบก็เช่นกันต้องตัด “เขี้ยว” ออกก่อนเพราะทั้งคู่เป็นต่อมพิษที่จะทำอันตรายให้กับปลาของเราได้ (โดยปกติเขี้ยวของตะขาบจะถูกตัดมาแล้วตั้งแต่ตอนที่ซื้อมา)

NOTE : แมงป่องเมื่อหล่นลงน้ำแล้วจะจมแต่ว่าไม่ตายทันที มันสามารถกลั้นหายใจเดินไปเดินมาในน้ำได้ราวๆ 5-10 นาที ถ้าตอนที่เราหย่อนมันลงไปแล้วปลาไม่กินช่วงเวลานั้นก็เอามันขึ้นมาเก็บ เลี้ยงไว้อย่างเดิมได้

กบ กบเป็นเหยื่อปลาที่ค่อนข้างตายง่ายมากแต่ถ้าเทียบกับความยุ่งยากในระหว่าง เหยื่อทั้งหมด “กบ” นี่จัดได้ว่าเลี้ยงได้ง่ายเลยทีเดียว อาหารปลา อาหารเม็ดก็กินได้ หนอนนกก็กินได้ น้ำก็ใช้ไม่ต้องมากเพียงแต่ต้องเปลี่ยนถ่ายทุกวัน แต่กบเหยื่อทั่วไปไม่ใช่กบน้ำเพราะฉะนั้นไม่ต้องเติมน้ำมาจนท่วมเพราะกบจะจม น้ำตาย ออกซิเจนก็ไม่ต้องใช้พวกมันสามารถหายใจเองได้ มีขอนไม้หรือแท่นลอยซักอันให้มันเกาะจะสามารถช่วยลดความเครียดและการทำร้าย กันเองได้ (เพื่อป้องการการทำร้ายกันเองก็ควรเลือกกบที่มีขนาดเดียวกันที่สำคัญคือไม่ ควรเลี้ยงให้แออัด)

กบที่ซื้อมาส่วนใหญ่มักจะดูสกปรกเราจึงไม่สามารถแน่ใจได้ว่ามีโรคติดมาด้วยรึเปล่าเพราะฉะนั้น หลังจากที่ซื้อมาแล้วนำไปแช่น้ำผสมด่างทับทิมซัก 5 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่ติดมาทั้งหมด ภาชนะที่เก็บควรกว้างพอที่จะอยู่กันได้อย่างไม่อึดอัดและสูงพอที่พวกมันจะ กระโดดพ้น (ไม่น้อยกว่า 1 ฟุตครับ) การซื้อกบไม่ควรซื้อขนาดเล็กมากนะครับเพราะจะตายง่าย ควรจะซัก 1 นิ้วขึ้นไปและถ้าหากมีตัวตายก็ต้องรีบเอาออกเพราะน้ำจะเน่าเสียเร็ว ขนาดปลาที่เหมาะสมในการให้กินกบเป็นอาหารควรมีขนาด 8 นิ้วขึ้นไปนะครับ smile.gif